ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกต้องเผชิญกับปัญหาความไม่แน่นอนมากมาย การระบาดของโรคโควิด-19 ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ความขัดแย้งอย่างสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดก่อให้เกิดความกังวลต่อการเกิดภาวะถดถอยทั่วโลก
เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ตลาดเกิดความวิตกกังวล ส่งให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลงและก่อให้เกิดปัญหาต่อการขยายธุรกิจ รวมถึงปัญหาต่างๆ เช่น การหยุดการผลิต และการล้มละลายก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน นอกจากนี้ ระดับหนี้ทั่วโลกที่สูงและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังคงเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และเมื่อเร็วๆ นี้ แม้แต่ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งในโลกยังแสดงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบอ่อนในช่องทางโซเชียลมีเดียของตนเองอีกด้วย
ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวได้แทรกซึมไปทั่วทุกมุมโลก จึงทำให้เกิดคำถามขึ้นว่า โลกไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาวะถดถอยครั้งใหญ่นี้ได้ใช่หรือไม่ นอกจากนี้ ท่ามกลางภาวะถดถอยเช่นนี้ นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์อย่างไร บทความนี้มีจะตอบคำถามเหล่านี้และให้ข้อมูลสำหรับนักลงทุนในการเผชิญแรงกดดันจากภาวะถดถอย
การคาดการณ์ของสถาบันต่างๆ: เศรษฐกิจดูท่าจะย่ำแย่
ในช่วงต้นเดือนเมษายนของปีนี้ ธนาคารโลกประเมินว่าการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP ทั่วโลกจะลดลงต่ำกว่า 2% ในปีนี้ และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3% ในปี 2024 และจากนั้นจะชะลอตัวลงเหลือ 2.2% ในปี 2030 ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโต 3.5% ในทศวรรษแรกของศตวรรษนี้
ในทำนองเดียวกัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เตือนใน World Economic Outlook ล่าสุดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ความเสี่ยงทางการเงินกำลังเพิ่มขึ้น และแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจะอ่อนแอกว่าที่คาดไว้
ในขณะที่ธนาคารกลางในสหรัฐอเมริกาและยุโรปซึ่งนำโดยเฟดได้ดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดในช่วงไม่กี่ปีมานี้เพื่อบรรเทาภาวะเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่สูงทำลายฟองสบู่ของสินทรัพย์และทำให้ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ดังตัวอย่างจากวิกฤตการณ์ในภาคการธนาคารของสหรัฐฯ ไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ช่วงอ่อนแอเนื่องจากการลงทุนและการผลิตชะลอตัวลง
นอกจากนี้ องค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) คาดการณ์ว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะอยู่ที่ 2.6% สำหรับปีนี้ และ 2.9% ภายในปี 2024 ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของจีนและอินเดีย ทั้งสองประเทศที่มีประชากรมากในยุคหลังการแพร่ระบาด ซึ่งช่วยชดเชยการเติบโตที่ซบเซาในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ในขณะเดียวกัน หากกล่าวถึงความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะแยกเศรษฐกิจออกจากจีน สหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มต้นทุนทางเศรษฐกิจของตนเอง ลอว์เรนซ์ ซัมเมอร์ส (Lawrence Summers) อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ เชื่อว่ามีโอกาสถึง 70% ที่สหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในปีนี้
ปัญหาของภาวะถดถอย: วิธีแก้ปัญหาที่มีอยู่จำกัด
กล่าวโดยสรุป อัตราดอกเบี้ยที่สูงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ของสหรัฐฯ และยุโรป ส่งผลทางลบต่อการพัฒนาเศรษฐกิจโลก แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยวิกฤตที่ทวีความรุนแรงขึ้นในภาคการธนาคารของสหรัฐ เฟดได้เริ่มอัดฉีดสภาพคล่องจำนวน 300 พันล้านเหรียญสหรัฐเข้าสู่ระบบธนาคารตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมีนาคมปีนี้
การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้ชี้ให้เห็นว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤษภาคมอาจเป็นครั้งสุดท้ายในปีนี้ ส่งผลให้ตลาดเริ่มคาดการณ์ว่าประเทศต่างๆ ในยุโรปและอเมริกาอาจหันไปใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เพื่อผ่อนคลายนโยบายการเงินและรักษาเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำให้เกิดความกังวลใหม่เนื่องจากการผ่อนคลายทางการเงินเป็นดาบสองคมมาโดยตลอด และไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ถาวร นับตั้งแต่วิกฤตการเงินครั้งก่อนในปี 2008 กลุ่มประเทศ G7 ได้เริ่มใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ ซึ่งนำเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมาสู่ประเทศพัฒนาแล้วมานานกว่าทศวรรษ แต่ยังนำไปสู่ระดับหนี้ที่สูงขึ้นและกระตุ้นฟองสบู่ของสินทรัพย์เก็งกำไร นอกจากนี้ยังได้เปลี่ยนแนวทางการลงทุนของนักลงทุนจากกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวไปสู่การแสวงหากำไรระยะสั้น
นอกจากนี้ การดำเนินการ QE ยังมีนัยยะที่ลึกซึ้ง ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญในระบบการเงินโลก
ผลกระทบหลักหนึ่งของ QE คือการขยายตัวอย่างมากของงบดุลของธนาคารกลางภายในกลุ่ม G7 ตั้งแต่ปี 2008 งบดุลเหล่านี้มีขนาดเพิ่มขึ้นสามเท่า พุ่งสูงขึ้นจาก 5.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 23.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2020
ในขณะเดียวกัน สถานะการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิ (NIIP) ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งแสดงถึงความแตกต่างระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินของประเทศ ซึ่งได้เห็นแนวโน้มที่ถดถอยในยุค QE
อัตราส่วน NIIP ต่อ GDP เป็นตัวชี้วัดความน่าเชื่อถือทางการเงินของประเทศ โดยอัตราส่วนเชิงลบที่สูงขึ้นจะบ่งชี้ถึงความเสี่ยงต่อความผันผวนในตลาดการเงินระหว่างประเทศ ภายในปี 2020 สหรัฐฯ เป็นหนี้ถึง 14.7 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าจำนวนทรัพย์สินที่ตัวเองมีอยู่ ซึ่งตรงกันข้ามกับความไม่สมดุล 4 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2008 อย่างสิ้นเชิง
นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกากำลังต่อสู้กับภาระหนี้จำนวนมากภายในระบบการเงินที่ไม่สมดุลในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ หลายประเทศ รวมทั้งจีน รัสเซีย และบราซิล ได้ตระหนักถึงความเสี่ยงของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และหันไปใช้สกุลเงินของตนเองมากขึ้นในการทำการค้า
สหรัฐอเมริกา ในฐานะตัวแทนของประเทศเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว กำลังประสบกับภาวะถดถอยอยู่แล้ว ในทำนองเดียวกัน จีนซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาก็กำลังเผชิญกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ในตอนแรก
ในช่วง Golden Week ของจีนเมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีผู้เดินทาง 274 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างน่าประทับใจถึง 70.83% YoY รายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 148.056 พันล้านหยวน ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตที่โดดเด่นของ YoY ที่ 128.90%
แม้ว่าตัวเลขเหล่านี้อาจดูดีเมื่อมองแวบแรก แต่ข้อมูลเผยให้เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยเฉลี่ยลดลงอย่างเห็นได้ชัด หารกับรายได้จากการเดินทาง 1.48 แสนล้านหยวนด้วยการเดินทาง 274 ล้านครั้ง จะได้ค่าเดินทางเฉลี่ย 540 หยวนต่อคน ขณะที่ข้อมูลการแพร่ระบาดก่อนปี 2019 ระบุตัวเลขประมาณ 640 หยวนต่อคน ความแตกต่างนี้แสดงให้เห็นถึง “Lipstick effect” ที่มองเห็นได้ในเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันโดยบ่งชี้ถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ลดลง
เตรียมพร้อมเผชิญความไม่แน่นอน: นักลงทุนต้องเตรียมพร้อมไว้
เศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา โดยมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดภาวะถดถอยทั่วโลก กลุ่ม G20 ตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น แผนมูลค่า 4 ล้านล้านหยวนของจีน ซึ่งคิดเป็น 12.5% ของ GDP
ในขณะที่มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ถูกนำมาใช้ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักว่า QE นั้นให้ประโยชน์ในระยะสั้น แต่มีผลเสียในระยะยาว ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาชั่วคราวเท่านั้น นอกจากนี้ การเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้นกว่าในปี 2008 โดยมีการแบ่งแยกระหว่างมหาอำนาจมากขึ้น
ในสถานการณ์เหล่านี้ นักลงทุนควรพิจารณากระจายพอร์ตการลงทุนเพื่อรวมสินทรัพย์ที่ปลอดภัยด้วย เช่น ทองคำ โดยมีจุดมุ่งหมายสองประการ คือ หากำไรจากสินทรัพย์ที่ปลอดภัยในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนและเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์การลงทุนอื่น ๆ
เพื่อประสบความสำเร็จในการรับมือกับปัญหาภายหน้าและแข็งแกร่งขึ้นจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกที่อาจเกิดขึ้น รัฐบาลและธนาคารกลางจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประเมินผลระยะยาวอย่างรอบคอบในการตัดสินใจทางการเงินและการคลัง ธุรกิจและนักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังและปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับความไม่แน่นอนในอนาคต
การใช้มาตรการเชิงรุกและการดำเนินนโยบายที่รอบคอบ ทำให้สามารถเอาชนะปัญหาและส่งเสริมเศรษฐกิจโลกให้มีเสถียรภาพและยั่งยืนมากขึ้นได้ ธนาคารโลก รวมถึงกองทุนการเงินระหว่างประเทศ และ OECD ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการจัดการกับความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน
โดยสรุปแล้ว หนทางข้างหน้าต้องการความสมดุลในการกระตุ้นการเติบโต ในขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการสะสมหนี้ที่มากเกินไปและเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาฟองสบู่ในสินทรัพย์ ด้วยการพิจารณาอย่างรอบคอบและการมองการณ์ไกล เราสามารถรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจเหล่านี้และแข็งแกร่งขึ้น ทำให้มั่นใจได้ว่าเศรษฐกิจโลกจะมีอนาคตสดใสรออยู่
| เกี่ยวกับ Doo Prime
เครื่องมือการซื้อขายของเรา
หลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนีหุ้น
Doo Prime เป็นโบรกเกอร์ออนไลน์ระดับนานาชาติภายใต้บริษัท Doo Group ที่ให้นักลงทุนมืออาชีพได้ซื้อขายหลักทรัพย์ ฟิวเจอร์ส ฟอเร็กซ์ โลหะมีค่า สินค้าโภคภัณฑ์ และดัชนีหุ้น ปัจจุบัน Doo Prime มอบประสบการณ์การซื้อขายที่ดีที่สุดให้ลูกค้ามากกว่า 90,000 คน โดยมีอัตราการซื้อขายเฉลี่ย 51,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน
Doo Prime มีใบอนุญาตจากเซเชลส์ เมอริเชียส วานูอาตู โดยมีสำนักงานในดัลลัส ซิดนีย์ สิงคโปร์ ฮ่องกง กัวลาลัมเปอร์ และอีกหลายสำนักงานทั่วโลก
ด้วยเทคโนโลยีการเงินที่สมบูรณ์แบบ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และทีมที่มีประสบการณ์ Doo Prime ให้ประสบการณ์การซื้อขายที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ให้ราคาการซื้อขายที่ดี รวมไปถึงวิธีการฝาก-ถอนที่รับรอง 22 สกุลเงิน อีกทั้ง Doo Prime ยังให้การบริการลูกค้าในหลากหลายภาษาตลอด 24 ชั่วโมง และยังสามารถทำการซื้อขายได้อย่างรวดเร็วผ่านแพลตฟอร์ม MT4, MT5, TradingView, และ InTrade ที่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 10,000 รายการ
วิสัยทัศน์และภารกิจของ Doo Prime คือการเป็นองค์กรเทคโนโลยีการเงินในฐานะโบรกเกอร์ด้านการลงทุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินระดับโลก
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Doo Prime โปรดติดต่อ
โทรศัพท์
ยุโรป : +44 11 3733 5199
เอเชีย : +852 3704 4241
เอเชีย – สิงคโปร์: +65 6011 1415
เอเชีย – จีน : +86 400 8427 539
อีเมล
ฝ่ายบริการด้านเทคนิค th.support@dooprime.com
ฝ่ายขาย th.sales@dooprime.com
ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)
ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement)
บทความนี้มีข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต (Forward-looking Statement) ปรากฏอยู่ เช่นคำว่า “คาดการณ์ว่า” “เชื่อว่า” “ต่อไป” “สามารถ” “ประมาณ” “คาดว่า” “หวังว่า” “ตั้งใจว่า” “อาจจะ” “วางแผนว่า” “มีแนวโน้มว่า” “คาดเดาว่า” “ควรจะ” หรือ “จะ” หรือข้อความอื่น ๆ ซึ่งเป็นการคาดการณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต อย่างไรก็ตาม ในข้อความที่ไม่มีคำลักษณะนี้ปรากฏอยู่มิได้แสดงว่าข้อความเหล่านี้ไม่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต ข้อความเกี่ยวกับความคาดหวัง ความเชื่อ แผนการ จุดประสงค์ ข้อสันนิษฐาน เหตุการณ์ในอนาคต และการกระทำในอนาคตของ Doo Prime จะเป็นข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคต
Doo Prime ใช้ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตอ้างอิงมาจากข้อมูลปัจจุบันที่มีอยู่ ความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผน Doo Prime เชื่อว่าความคาดหวังในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐาน การคาดคะเน และการวางแผนเหล่านั้นสมเหตุสมผล อย่างไรก็ตาม ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการคาดหมายและเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่สามารถรับรู้และไม่สามารถรับรู้ได้ แต่หลายเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของ Doo Prime ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ และการกระทำที่แตกต่างจากที่ข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้แสดงออกหรือแสดงนัยไว้
Doo Prime ไม่รับรองหรือรับประกันความน่าเชื่อถือ ความถูกต้อง หรือความสมบูรณ์ของข้อความเหล่านั้น Doo Prime ไม่มีหน้าที่ส่งข้อมูลหรือแก้ไขข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตเหล่านี้
การเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง
การซื้อขายเครื่องมือทางการเงินมีความเสี่ยงสูง เนื่องจากความผันผวนของมูลค่าและราคาของเครื่องมือทางการเงิน เนื่องจากความเคลื่อนไหวทางการตลาดที่ไม่พึงประสงค์และคาดการณ์ไม่ได้ ซึ่งอาจทำให้เกิดความเสียหายแก่นักลงทุนในระยะเวลาที่รวดเร็วได้ ผลการลงทุนในอดีตไม่สามารถชี้วัดความสำเร็จหรือผลกำไรในการลงทุนได้ การลงทุนด้านนี้เกี่ยวข้องกับมาร์จินและเลเวอเรจ ซึ่งการลงทุนจำนวนเล็กน้อยอาจส่งผลประทบมากได้ ดังนั้น นักลงทุนควรเตรียมรับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย
โปรดอ่านและทำความเข้าใจความเสี่ยงของการซื้อขายเครื่องมือทางการเงินอย่างถี่ถ้วนก่อนที่จะทำธุรกรรมกับ Doo Prime หากมีข้อสงสัยในการลงทุน ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถดูได้ที่ข้อมูลข้อตกลงการทำธุรกรรมและการเปิดเผยข้อมูลความเสี่ยง
ข้อความปฏิเสธการรับผิดชอบตามกฎหมาย
ข้อมูลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปแก่สาธารณะเท่านั้น ข้อมูลไม่ควรถูกตีความเป็นคำปรึกษาทางด้านการลงทุน คำแนะนำ ข้อเสนอ หรือคำเชิญชวนเพื่อซื้อหรือขายเครื่องมือทางการเงินใด ๆ ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้จัดทำขึ้นโดยโดยไม่มีการอ้างอิงหรือพิจารณาถึงจุดประสงค์การลงทุนหรือสถานะทางการเงินของผู้ใดผู้หนึ่งแต่อย่างใด การอ้างอิงถึงประสิทธิภาพของเครื่องมือทางการเงินในอดีต เครื่องมือทางการดัชนี หรือผลิตภัณฑ์การลงทุนไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่เชื่อถือได้สำหรับผลลัพธ์ในอนาคต Doo Prime ไม่รับรองและรับประกันข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียหรือความเสียหายทั้งทางตรงและทางอ้อมอันเป็นผลมาจากความไม่ถูกต้องหรือความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล Doo Prime ไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสียหรือความเสียหายที่เป็นผลมาจากความเสี่ยงการซื้อขาย กำไร หรือขาดทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนส่วนบุคคล