เงินบาทเปิดอ่อนค่าแตะ 38.00 ให้กรอบวันนี้ 37.90-38.15 จับตากนง.- Flow ต่างชาติ

2022-09-28 | commodities ,Current Affairs ,Forex ,Securities

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 38.00 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวอ่อนค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 37.98 บาท/ดอลลาร์ เคลื่อนไหวตามภูมิภาคและตลาดโลก เนื่องจากดอลลาร์แข็งค่าหลังได้รับปัจจัยหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาเมื่อคืนนี้ดีเกินคาด อีกทั้งมีเสียงสนับสนุนจากกรรมการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้เดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป นอกจากนี้ตลาดยังมีความกังวลเรื่องปัญหาวิกฤตพลังงานในสหภาพยุโรปจากกรณีเกิดเหตุท่อส่งก๊าซธรรมชาติใต้ทะเลจากรัสเซียไปเยอรมนีรั่วไหล

“บาทอ่อนค่าทำนิวไฮในรอบ 16 ปี ทิศทางเป็นไปตามภูมิภาคและตลาดโลก หลังมีปัจจัยหนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง” นักบริหารเงิน กล่าว

นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 37.90 – 38.15 บาท/ดอลลาร์ โดยช่วงนี้ต้องจับตาดูทิศทางของเงินทุนต่างประเทศจากขายหุ้นและพันธบัตรของนักลงทุนต่างชาติ

ขณะที่วันนี้ต้องติดตามผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เกี่ยวกับการพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 0.75%

THAI BAHT FIX 3M (27 ก.ย.) อยู่ที่ระดับ 0.99532% ส่วน THAI BAHT FIX 6M อยู่ที่ระดับ 0.90529%

อ้างอิง อินโฟเควสท์

OECD หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจโลก เซ่นผลกระทบแบงก์ชาติคุมเข้มนโยบายการเงิน

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) เปิดเผยรายงานคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกในปี 2566 จะขยายตัว 2.2% ลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 2.8% เนื่องจากเศรษฐกิจถูกกดดันจากการที่ธนาคารกลางในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วพากันใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงินเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า OECD ได้คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นจะขยายตัว 1.4% ในปี 2566 ซึ่งลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 1.8% แม้ว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ยังคงดำเนินนโยบายตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำเป็นพิเศษก็ตาม

ทั้งนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงในไตรมาส 2 ปีนี้ เนื่องจากการที่รัสเซียส่งกำลังทหารเข้าทำสงครามกับยูเครนได้ส่งผลให้ราคาพลังงาน อาหาร และวัตถุดิบประเภทอื่น ๆ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค ขณะเดียวกัน OECD คาดการณ์ว่า ภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจจะยังคงเกิดขึ้นต่อไปอีกระยะหนึ่ง อันเนื่องมาจากผลกระทบของการที่หลายประเทศพากันใช้นโยบายคุมเข้มด้านการเงิน

อ้างอิง อินโฟเควสท์

หยวนอ่อนค่าที่สุดในรอบ 14 ปี แบงก์ชาติจีนอาจต้องชะลอนโยบายผ่อนคลาย

เงินหยวนในตลาดจีนและตลาดต่างประเทศอ่อนค่าทะลุระดับ 7.2 หยวนต่อดอลลาร์ในวันนี้ ซึ่งเป็นระดับที่หยวนอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2551 หรือในรอบ 14 ปี

นักวิเคราะห์ของซิติก ซีเคียวริตีส์ และเทียนเฟิง ซีเคียวริตีส์เปิดเผยว่า หยวนอ่อนค่าลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์แตะ 7.2162 หยวนต่อดอลลาร์ในการซื้อขายที่ตลาดต่างประเทศเช้านี้ ซึ่งบ่งชี้ว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) อาจจะชะลอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ การปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ (RRR)

ด้าน China Foreign Exchange Trading System (CFETS) รายงานว่า อัตราค่ากลางสกุลเงินหยวนในวันนี้ อ่อนค่าลง 0.0385 หยวน แตะที่ 7.1107 หยวนต่อดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ การชะลอการใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินของธนาคารกลางจีนนั้น อาจจะส่งผลกระทบต่อความพยายามของรัฐบาลจีนในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงฟื้นฟูตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ทรุดตัวลง

บรรดานักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า การขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของจีนในปี 2565 จะชะลอตัวลงสู่ระดับ 3.4% ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบกว่า 40 ปี

อ้างอิง อินโฟเควสท์

มูดี้ส์เตือนอังกฤษลดภาษีครั้งใหญ่อาจทำให้รัฐขาดดุลงบประมาณ-กระทบเครดิต

มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสเตือนรัฐบาลอังกฤษว่า แผนการปรับลดภาษีครั้งใหญ่นั้น อาจจะทำให้เกิดภาวะขาดดุลงบประมาณอย่างรุนแรง และอัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของอังกฤษในสายตาของนักลงทุน

ทั้งนี้ มูดี้ส์ระบุว่า การปรับลดภาษีครั้งใหญ่เป็นปัจจัยลบต่อความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น ท่ามกลางต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นในปัจจุบัน อีกทั้งจะส่งผลให้แนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจอ่อนแอลง และสร้างแรงกดดันต่อการใช้จ่ายของภาครัฐ

“วิกฤตความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นผลมาจากการที่ตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือด้านกลยุทธ์การคลังของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวส่งผลให้ต้นทุนการระดมเงินทุนปรับตัวสูงขึ้น และอาจสร้างความอ่อนแออย่างถาวรต่อความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลอังกฤษ” มูดี้ส์ระบุ

อ้างอิง อินโฟเควสท์

พาณิชย์ เผยยอดธุรกิจตั้งใหม่ ส.ค. 7,418 ราย โต 33%YoY

นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยสถิติการจดทะเบียนธุรกิจของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ประจำเดือนส.ค. 65 ประกอบด้วย

– ธุรกิจจัดตั้งใหม่

มีผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่ทั่วประเทศในเดือนส.ค. 65 จำนวน 7,418 ราย เพิ่มขึ้น 33% จากเดือนเดียวกันปีก่อนที่มี 5,553 ราย และเพิ่มขึ้น 1,560 ราย จากเดือนก่อนหน้า หรือคิดเป็น 27% โดยมีมูลค่าทุนจดทะเบียนจำนวน 24,393.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106% จากเดือนเดียวกันปีก่อนที่มีทุนจดทะเบียน 11,833.29 ล้านบาท แต่ลดลง 16% จากก.ค. 65

ประเภทธุรกิจจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป จำนวน 652 ราย คิดเป็น 9% รองลงมา คือ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 489 ราย คิดเป็น 6% และอันดับ 3 คือ ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร จำนวน 337 ราย คิดเป็น 4% ตามลำดับ

ส่วนธุรกิจจัดตั้งใหม่แบ่งตามช่วงทุน โดยช่วงทุนที่มีจำนวนรายธุรกิจจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศมากที่สุด ได้แก่ ช่วงทุนไม่เกิน 1 ล้านบาท มีจำนวน 5,032 ราย คิดเป็น 67.83% รองลงมาช่วงทุนมากกว่า 1-5 ล้านบาท จำนวน 2,266 ราย คิดเป็น 30.55% ลำดับถัดไป คือ ช่วงทุนมากกว่า 5-100 ล้านบาท มีจำนวน 105 ราย คิดเป็น 1.42% และช่วงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท จำนวน 15 ราย คิดเป็น 0.20% ตามลำดับ

อ้างอิง อินโฟเควสท์

ข่าวสารการลงทุนIconBrandElement

article-thumbnail

2024-05-02 | ข่าวสารการลงทุน

Non-Farm Payroll ประจำเดือนเมษายน

article-thumbnail

2023-05-24 | ข่าวสารการลงทุน

แบงก์ชาติไต้หวันเล็งพิจารณาเงินเฟ้อ-จีดีพีก่อนปรับดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า

ติดตามสรุปข่าวการเงินและการลงทุนประจำวันพุธที่ 24 พฤษภาคม 2566 ได้ที่นี่

article-thumbnail

2023-05-23 | ข่าวสารการลงทุน

เงินเฟ้อฮ่องกงพุ่ง 2.1% ในเดือนเม.ย. เหตุราคาสินค้าสูงต่อเนื่อง

ติดตามสรุปข่าวการเงินและการลงทุนประจำวันอังคารที่ 23 พฤษภาคม 2566 ได้ที่นี่