หุ้นเอเชียร่วงตามกัน แต่ความหวังว่าหุ้นจะฟื้นตัวยังคงมีอยู่

หุ้นเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ลดลงในเช้าวันจันทร์ อย่างไรก็ตามนักลงทุนเริ่มไตรมาสที่ 4
ของปี 2564 ด้วยมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวัง เนื่องจากพวกเขาหวังว่าจะมีการเติบโต
ทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเพื่อเอาชนะความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อ

Nikkei 225 ของญี่ปุ่นลดลง 1.27% และ ดัชนีฮั่งเส็ง ของฮ่องกงลดลง 2.31% ASX 200 ของออสเตรเลียเพิ่มขึ้น 0.81% KOSPI ของเกาหลีใต้ทรงตัวที่ 3019.18 ส่วนตลาดจีนปิดทำการในวันจันทร์

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา S&P 500 เพิ่มขึ้นมากกว่า 1% เมื่อวันศุกร์ หลังจากที่ยาต้านโควิด-19 ของ Merck & Co (NYSE:MRK) แสดงผลทางคลินิกออกมาน่าพึงพอใจ และดัชนี PMI ภาคการผลิตจากสถาบันไอเอสเอ็ม (ISM) สหรัฐอเมริกา ที่เผยแพร่เมื่อวันศุกร์ ออกมาดีเกินคาดในเดือนกันยายนที่ 61.1

ค่าเงิน ดอลลาร์ อ่อนค่าลงเป็นวันที่สาม โดยมีความตึงเครียดในเอเชีย ควบคู่ไปกับความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากจำนวนเครื่องบินรบจีนบินผ่านใกล้ไต้หวันมากประวัติการณ์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีลดลงเหลือ 1.45%

นักลงทุนในเอเชียแปซิฟิกยังคงติดตามข่าวของ China Evergrande Group (HK:3333) ซึ่งความกังวลเรื่องหนี้สินยังคงดำเนินต่อไป นักลงทุนยังจะรอความคิดเห็นจากการประชุมองค์กรของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร (OPEC+) ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงบ่ายของวันเนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังคงพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อ้างอิง: th.investing.com

ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่ม หลังตลาดคาดโอเปกพลัสเพิ่มกำลังผลิต 0.4 ล้านบาร์เรล/วัน

เวสต์เท็กซัสและเบรนท์ปรับเพิ่ม หลังตลาดคาดโอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิต 0.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามข้อตกลง

ปัจจัยบวก ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสและเบรนท์ปรับเพิ่ม หลังตลาดจับตาการประชุมเพื่อกำหนดนโยบายการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 4 พ.ย. 64 ทั้งนี้นักวิเคราะห์คาดว่ากลุ่มโอเปกพลัสจะเพิ่มกำลังผลิต 0.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามข้อตกลงเดิม แม้ว่าสหรัฐ และอินเดีย เรียกร้องให้กลุ่มโอเปกพลัสเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น เพื่อลดความร้อนแรงของราคาน้ำมันดิบ รวมทั้งความต้องการใช้น้ำมันได้รับแรงหนุนจากราคาก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ผู้ผลิตไฟฟ้าหลายแห่งเช่น ในปากีสถาน บังกลาเทศ และทวีปตะวันออกกลาง เปลี่ยนเชื้อเพลิง จากการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นน้ำมัน

ปัจจัยลบ จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติสหรัฐ ณ สัปดาห์สิ้นสุด 1 ต.ค. 64 ปรับเพิ่มขึ้น 7 แท่น แตะระดับ 528 แท่น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 63 ตามรายงานของ Baker Hughes

ราคาน้ำมันเบนซิน
ปรับตัวลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ แม้ว่า Apple Mobility Data ของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตัวแทนของความต้องการใช้น้ำมันเบนซิน อยู่ที่ระดับสูงกว่าBaseline ราว 9.28% และฟิลิปปินส์เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ในวันที่ 1 ต.ค. 64 หนุนความต้องการใช้น้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันดีเซล
ปรับตัวลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบ แม้ว่าปริมาณน้ำมันดีเซลคงคลังสิงคโปร์ ณ สัปดาห์สิ้นสุด 29 ก.ย. 64 ปรับลด 33,300 บาร์เรล แตะระดับ 10.51 ล้านบาร์เรล

อ้างอิง: prachachat.net

ทองคำปรับตัวขึ้น หลังดอลลาร์เริ่มแผ่ว

สัญญาณที่เลวร้ายที่สุดในตอนนี้ของทองคำอาจจบไปแล้ว โดยทองคำสามารถกำไรได้
เล็กน้อยในช่วงต้นของเดือนตุลาคม ไปในทิศทางเดียวกับสินทรัพย์เสี่ยงอื่นที่พยายามฟื้นตัวจากเหตุการณ์เลวร้ายในเดือนกันยายน ส่วนดอลลาร์ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ที่ปรับตัวต่ำลงยังช่วยให้ราคาทองคำพุ่งขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สองติดต่อกัน แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

ราคาทองคำปรับตัวขึ้นในเช้าวันจันทร์ในเอเชีย โดยแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และชดเชยการเดิมพันว่าธนาคารกลางสหรัฐจะเริ่มลด QE ลงในไม่ช้า

ทองคำ ขยับขึ้น 0.15% เป็น $1,761 เมื่อเวลา 22:21 น. ตามเวลามาตรฐานตะวันออก (2:21 น. GMT) หลังจากแตะระดับ $1,765.54 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน ค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งปกติเคลื่อนที่ผกผันกับทอง ย่อลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน

SPDR Gold Trust (P:GLD) GLD (NYSE:GLD) กล่าวว่าการถือครองทองคำของบริษัทลดลง 0.4% เป็น 986.54 ตันในวันศุกร์ ขณะที่ข้อมูล Commodity Futures Trading Commission ของสหรัฐฯ เปิดเผยในวันเดียวกัน เผยว่านักเก็งกำไรลดสถานะซื้อสุทธิลง 19,471 สัญญาเป็น 42,123 ในสัปดาห์ที่ 28 กันยายน

ในขณะเดียวกัน ความต้องการทองคํารูปพรรณได้เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้บริโภครายใหญ่ของจีนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่กิจกรรมก็เพิ่มขึ้นในศูนย์กลางอื่น ๆ ในเอเชีย รวมถึงสิงคโปร์ด้วย

ด้านโลหะมีค่าอื่นๆ เงินและแพลตตินั่มเพิ่มขึ้น 0.4% ในขณะที่แพลเลเดียมเพิ่มขึ้น 0.1%

อ้างอิง: th.investing.com